เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๔ ก.พ. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาโยมมาทำบุญๆ ไงพระก็มาจากคนเพราะคฤหัสถ์มาบวชเป็นพระ มาบวชเป็นพระพระก็มนุษย์นี่แหละ แต่พระมีศีล มีศรัทธามีความเชื่อ มีความเชื่อมั่นพระถึงขวนขวายขวนขวายด้วยหัวใจไง

พูดถึงไฟป่าๆ นะ เวลาประวัติหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านไปติดไฟป่าแล้วเวลาติดไฟป่า ท่านเป็นผู้เฒ่า พอผู้เฒ่า ไฟป่ามันโหมมาหนีไม่ทัน แล้วมหาทองสุขๆเก็บบริขารของท่าน แล้วบริขารของมหาทองสุขมหาทองสุขผูกไว้ แล้วก็พยายามจูงหลวงปู่มั่นหนีจากไฟป่า ฉะนั้นเวลาล่วงเลยมาแล้ว หลวงปู่มั่นจะบอกเลย นี่เพื่อนตายๆ เวลาท่านชี้ถึงมหาทองสุข รอดตายเพราะมหาทองสุข รอดตายเพราะมหาทองสุข

แต่เวลาหลวงปู่มั่นท่านอยู่เชียงใหม่เวลากลางคืนขึ้นมา ท่านบอก ๓ทุ่ม ๔ ทุ่มมาแล้วเทวดา อินทร์พรหมมาแล้ว มาฟังเทศน์หลวงปู่มั่นๆ ตลอดเลยไอ้นี่มันเรื่องสภาพของหัวใจเรื่องของคุณธรรม พอคุณธรรมมันเทศนาว่าการ เทศนาว่าการ แม้แต่เทวดา อินทร์พรหม เขาไม่รู้ของเขาได้

แต่มนุษย์มนุษย์ก็มีร่างกาย ร่างกายแล้วผู้ชราภาพเวลาชราภาพขึ้นไป เวลาไฟป่ามันมา หนีไม่ทันหนีไม่ได้ นี่เทศน์สอนเทวดาอินทร์ พรหมนะเหาะเหินเดินฟ้าด้วย ในประวัติหลวงปู่ตื้อบอกเลย สงสัยมากว่าทำไมหลวงปู่มั่นท่านไม่บิณฑบาตพร้อมหมู่ ก็ไปแอบซุ่มอยู่ พอแอบซุ่มอยู่ เห็นลอยมาเลย ลอยมาเลย เหาะมาเลย หลวงปู่ตื้อก็เห็น หลวงปู่สิมก็เห็น

ครูบาอาจารย์มันสงสัยไง สงสัยว่าอาจารย์เราทำไมทำหงิมๆแอบซุ่มมองเลยนะ เหาะมาเลยแต่เวลาไฟป่ามามันเป็นเรื่องสามัญสำนึกเรื่องของสังคมที่เห็นกัน คนที่มีคุณธรรมคุณงามความดี เขามีคุณงามความดีในหัวใจ มีคุณธรรมขนาดไหน ท่านก็เก็บไว้ในหัวใจของท่าน ท่านทำประโยชน์กับท่านโดยที่ไม่มีใครรู้ไง

เวลาหลวงตาท่านพูดถึงว่า หลวงปู่มั่นท่านพูดถึงประสบการณ์ของท่าน ท่านหันหน้าเข้าข้างฝาแล้วร้องไห้ แต่หลวงปู่มั่นท่านพูดด้วยเป็นคติธรรมเฉยๆท่านพูดถึงประสบการณ์ของท่าน ชีวิตของท่านสมบุกสมบันมาขนาดไหน ทุกข์ยากมาขนาดไหนถ้าพูดถึงทางโลก

เวลาหลวงตาท่านพูดถึง ถ้าชีวิตทางโลกนะหลวงปู่มั่นเหมือนเศษผ้าขี้ริ้ว เพราะมันไม่มีค่าทางสังคมไง แต่ถ้าเวลาพูดถึงธรรมะๆ หัวใจท่านสูงส่งหัวใจท่านเป็นพระอรหันต์ท่านเป็นผู้ฟื้นฟูท่านเป็นผู้ที่วางข้อวัตรปฏิบัติ สร้างศาสนทายาทหลวงปู่แหวนหลวงปู่ขาว ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นทั้งนั้น ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นทั้งนั้นน่ะ ท่านทำคุณงามความดี แต่ท่านทำคุณงามความดีโดยที่ไม่ได้ประชาสัมพันธ์ไม่ทำให้โลกรู้

ฉะนั้นเวลาหลวงปู่มั่นท่านนิพพานไปแล้ว ท่านก็มีชื่อเสียงคับฟ้าอยู่แล้วแหละ แต่เวลาหลวงตาท่านมาเขียนประวัติหลวงปู่มั่น พวกเราถึงได้รู้ พวกเราถึงได้เห็นไง

นี่ไง เวลาทางโลกก็เป็นทางโลก ทางโลก คนเรามนุษย์ พระก็มาจากคน มันก็มีร่างกายเหมือนกัน แต่มันชราภาพ ชราคร่ำคร่าไปแล้วมันก็ชราคร่ำคร่า ชราคร่ำคร่าขึ้นไป มันก็พยุงธาตุขันธ์นี้ไปภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์นี้เป็นภาระอย่างยิ่ง แต่เป็นภาระแล้วก็ยังต้องดูแลมัน เพราะดูแลมันเพื่ออะไรเพื่อดำรงชีวิตนี้ไว้

ที่เราจะประพฤติปฏิบัติเราหาเงินหาทองกัน หาเพื่อเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย เพื่อดำรงชีวิตๆ ดำรงชีวิตไว้ทำไม ดำรงชีวิตไว้เพื่อทำคุณงามความดี เราเสียสละทานกัน เราเสียสละ คนที่ได้รับผลทานของเราเขาก็อบอุ่นของเขา เขาก็มีน้ำใจของเขา เขาเห็นว่าคนยังเห็นคุณค่าของเขา นี่ทางโลกช่วยกันได้อย่างนี้ไง

แต่เวลาครูบาอาจารย์เรา ดูสิ เวลาหลวงปู่มั่นท่านเทศนาว่าการ“ฟ้าผ่าๆ” หลวงปู่เจี๊ยะท่านพูดประจำ “เฮ้ย! ฟ้าผ่าเว้ยฟ้าผ่า” หลวงปู่มั่นท่านแสดงธรรม มันฟาดฟันเข้าไปในหัวใจ กิเลสมันอยู่ในหัวใจกิเลสมันอยู่ภายในนะ มันไม่มีอะไรเข้าไปทำมันได้หรอก

ฉะนั้นเวลาคุณธรรมอย่างนั้น “ฟ้าผ่าๆ” มันผ่าเปรี้ยงลงกลางหัวใจ ถ้าผ่าเปรี้ยงลงกลางหัวใจ หลวงปู่เจี๊ยะท่านพูด “เฮ้ย! ฟ้าผ่าเว้ย ฟ้าผ่าเว้ย” ต่างคนต่างหาภาชนะไปรองน้ำฝน คือคุณธรรมของท่าน ท่านแสดงออกมา แต่พวกเราไม่รู้ พวกเราไม่รู้ เราเห็นได้ เห็นได้แต่วัตถุไง แต่เราไม่เห็นด้วยหัวใจอันนั้นไง

เวลาท่านแสดงธรรม ท่านปกป้องดูแลพระฟ้าผ่า ผ่าลงกลางหัวใจนั่นน่ะ ถ้าลงกลางหัวใจนะ ทิฏฐิมานะอันนั้นมันได้จางคลายลงมันได้ปล่อยวางลง ทิฏฐิมานะอันนั้นน่ะ

ทุกคนว่าความรู้ความเห็นของตนพิเศษสุดทั้งนั้นน่ะ ใครๆ ก็ว่าเรามีปัญญาๆแต่ปัญญาของเรา เราไม่รู้ตัวเลย เราไม่รู้ตัวเลย นี่ไง เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา “จะสอนใครได้หนอจะสอนใครได้หนอ”

สอนเขาเขาไม่รู้ สอนเขาเขาหาว่าจับผิดเขา สอนเขา เขาว่าไปติเตียนเขาแต่เวลาหลวงปู่มั่นท่านฟาดฟันลงกลางหัวใจแล้วฟาดฟันกลางหัวใจแล้วลูกศิษย์ลูกหาชื่นบาน

ดูสิ ภัยแล้งๆ ดูสิ ดินแตกระแหง ทำสิ่งใดก็ไม่ได้ เราภาวนากัน เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา กิเลสมันปกครองในหัวใจ เราทำได้ไหม ภัยแล้งๆมันแตกระแหงไม่มีสิ่งใดที่จะมาเพื่อการกสิกรรมเลย เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาขึ้นมา ทำสิ่งใดแล้วมันมีแต่จนตรอกไงทำสิ่งใดมีแต่ความคับแค้นใจไง ถ้ามันได้น้ำอมตะธรรมอันนั้นมันชุ่มชโลมมา เวลามันชุ่มชโลมมา ถ้าคนที่มีคุณธรรม ท่านปรารถนาอย่างนั้นน่ะ

เวลาเข้าไปใหม่ๆ ทุกคนก็ไม่รู้หรอกโอ้โฮ! ท่านดุท่านรุนแรง แต่เวลาพอเข้าไปอยู่คุ้นเคยกับท่าน ถ้าวันไหนมันไม่ฟาดฟันลงกลางหัวใจกิเลสมันไม่ยอมถ้ากิเลสไม่ยอมนี่ท่านช่วยเหลือท่านเจือจาน คนที่เข้าไปคุ้นเคยแล้ว พอเอะอะขึ้นมา วิ่งไปเลยจะไปรองรับภาชนะ จะไปรองรับอันนั้นน่ะนี่ไง ถ้ามันผ่าลงหัวใจ มันผ่าลงหัวใจ คุณธรรมอันนั้นมันประเสริฐไง ถ้ามันประเสริฐ

ดูสิ ในทางโลกๆ สมัยก่อน สมัยหินสมัยสัมฤทธิ์สมัยยุคน้ำแข็งยังไม่มีไฟ ยังไม่มีไฟ เขาก็กินอาหารดิบๆ กันพอเริ่มมีไฟ เริ่มพัฒนากันขึ้นมามันพัฒนาขึ้นมาไอ้นี่มันทางโลกโลกมันเจริญ ยิ่งพลังงาน ดูสิ มันให้คุณให้โทษทั้งนั้นน่ะ ให้ความสว่าง ให้พลังงาน แต่ถ้ามันลัดวงจรมันก็เผาไหม้ไปหมดเลย

ก็ย้อนกลับมากิเลสเรานี่ไง ย้อนกลับมาในความคิดเราที่ว่าเก่งๆ ทั้งนั้นน่ะ ถ้ามันฟาดฟันมา ดูสิ เวลามันลัดวงจรขึ้นมา ถึงกับทำลายตัวเอง เวลาคนทำลายตัวเองมันทำลายตัวเองเพราะอะไรล่ะเพราะกิเลสมันลัดวงจร มันทำให้ขาดสติมันทำคิดว่าเป็นประโยชน์กับมันไง

แต่ถ้าตบะธรรมๆ ดูทำสัมมาสมาธิทำคุณงามความดีของเรา ถ้ามันจะทำคุณงามความดีของเราถ้าเราทำแล้วเราทำของเราไม่ไหว มีศรัทธามีความเชื่อทั้งนั้นน่ะ ทุกคนปรารถนาดีทั้งนั้นน่ะ แต่ไปแล้วไปไม่รอดล้มลุกคลุกคลานทั้งนั้นน่ะ มันไม่รู้จักกิเลสไง แต่เวลาหลวงปู่มั่นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูสิ ท่านได้เปิดหน้ากิเลสท่านรู้จักกิเลสท่านรู้ว่ามันขนาดไหน เวลาหลวงตาท่านพูดประจำ แก่นของกิเลสๆ ไม่มีอะไรเหนียวแน่นเท่ากับกิเลสของคนหรอก

มันพิจารณาอย่างไรเวลาภาวนากันไปก็ “ว่างๆว่างๆ” ภาวนาไปกิเลสมันซุกอยู่นั่นน่ะ มันหลอกทั้งนั้นน่ะ มันบังเงา มันอ้างอิงแล้วเราก็ภูมิใจกันทั้งนั้นน่ะ “คนมีคุณธรรมๆทำไมมันทุกข์ยากขนาดนี้” นี่เวลามันหลอกอยู่ชั่วคราวหลอกชั่วคราวพอภาวนามีสติมีปัญญาขึ้นมาโอ๋ย! โล่งโถงไปหมด

นี่ไง มันหลอกไง มันหลอกให้ประมาทไง พอประมาทขึ้นไปเดี๋ยวมันเสื่อมหมด พอเสื่อมหมด นี่ไง เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ คนที่ประพฤติปฏิบัติมหาศาล แล้วมันเหลือมากี่องค์วันนี้กว่าจะได้ตามความจริงมันเหลือเท่าไรเพราะอะไรเพราะคนที่ปฏิบัติจริงเห็นจริง ถ้าเห็นหน้ากิเลส เขาถึงกลัวไง

ดูสิ เวลาหลวงตา ครูบาอาจารย์ของเราท่านมีข้อวัตรปฏิบัติ ท่านจะย้ำตรงนี้มากเลยย้ำตรงนี้ๆ ย้ำตรงนี้เพราะอะไรเพราะไม่ให้กิเลสมันโงหัวขึ้นมาไง ถ้ามันเผลอเมื่อไหร่เสร็จมัน

เวลาปฏิบัติโอ่อ่าผ่าเผย เดี๋ยวก็ไปล้มเอาข้างหน้าไม่เห็นมันรอดมาสักคน ถ้ามันรอดมาได้นะรอดมาได้ก็รอดที่ข้อวัตรปฏิบัตินี่ไง รอดมาก็ที่ศีลนี่ไง รอดมาเพราะความละเอียดรอบคอบไง ถ้ามันละเอียดรอบคอบ ดูแลตัวเองให้ดี ถ้าดูแลตัวเองให้ดีประพฤติพรหมจรรย์เพื่อพรหมจรรย์ ถ้าตัวเองดีแล้วมันดีไปหมด

แต่ตัวเองมันไม่ดีไงพอตัวเองไม่ดีก็ต้องให้คนมานบนอบไง จะต้องให้คนมายกย่องสรรเสริญ ไปไหนล้อมหน้าล้อมหลัง ไอ้นั่นมันไอ้บ้า ครูบาอาจารย์ของเราท่านไปไหนท่านไปของท่านองค์เดียวเท่านั้นน่ะไปเพราะความสงัดความวิเวกไง ถ้ามันเป็นความจริง ความจริงมันเป็นแบบนั้น ถ้าความจริงเป็นอย่างนั้น มันย้อนเข้ามา เพราะอะไรเพราะมันทำหัวใจได้ ทำหัวใจได้แล้วมันมีสิ่งใดที่จะมามีคุณค่าไปกว่าคุณธรรม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกประจำเธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิดอย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย

มีธรรมคือมีสติมีปัญญาไง ถ้าสติปัญญาสติธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรม ถ้าเธอมีธรรมเป็นที่พึ่งต้องพึ่งใครปัญญามันแก้ไขได้ทุกอย่างเลยชีวิตก็แก้ไขได้สรรพสิ่งนี้แก้ไขได้ด้วยปัญญาของเราเลย นี่ถ้าเธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด

ทีนี้เวลามีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด มันก็ตีความเวลาครูบาอาจารย์ของเราเช่น หลวงปู่มั่นครูบาอาจารย์ของเรา ทุกคนพยายามเข้าไปหาท่าน เพราะอะไร เพราะต้องการน้ำอมตะธรรมต้องการสัจจะความจริง เพราะเราก็ศึกษามาพอศึกษามาแล้วยิ่งศึกษามาขนาดไหนมันก็งงขนาดนั้นน่ะแล้วทำขึ้นไปกิเลสมันก็บังเงากิเลสมันก็อ้างธรรมะ หน้าฉากหลังฉาก หน้าฉากก็ แหม! ทำนุ่มนวล หลังฉากมันจะทำให้ล้มไปนั่นน่ะ ตัวเองยังไม่รู้ตัวเลย ถ้ามันมีความรู้มากๆ แล้วก็บอกเลย อย่าให้ติดบุคคล ให้ติดธรรมะเถิด แล้วศึกษามาท่วมหัวเอาตัวรอดได้ไหม ความรู้ท่วมหัวทั้งนั้นน่ะศึกษามาน่ะ

ศึกษามาศึกษามามีความจำเป็นไหม มีความจำเป็นโลกเจริญได้เพราะการศึกษาการศึกษานี้มันศึกษาเพื่อทางวิชาการ แต่การศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษามาเพื่อเป็นปริยัติ ศึกษามาเพื่อปฏิบัติองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกปริยัติต้องศึกษา ศึกษามาเพื่อปฏิบัติ

ศึกษามาเพื่อเป็นแนวทางเท่านั้น การศึกษานี้เป็นแนวทางเท่านั้นแต่เราศึกษาแนวทาง เราก็ว่าเรารู้แนวทางแล้ว ว่าแนวทางนั้นสุดยอดนะแต่ผลมันไม่มีมันไม่ถึงผลไงแนวทางเป็นแนวทางเท่านั้นแนวทาง แล้วก็มาวิเคราะห์กันแนวทาง แล้วมาโต้เถียงกันที่แนวทางนี้ทั้งนั้นเลย

แต่เวลาธรรมะที่เป็นความจริงมันปฏิบัติแล้วมันถึงที่สุดไง ถึงที่สุดมันเป็นความจริงนั้นไงเธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด ก็ธรรมอันนั้นไงถ้าธรรมอันนั้นมันอยู่ในหัวใจของครูบาอาจารย์ เขาก็แสวงหา มันจะผิดตรงไหน

เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด มีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด แต่เวลามีคุณธรรมขึ้นมามันทำให้หัวใจฮึกเหิม หัวใจฮึกเหิมนะ

เวลาหลวงตาท่านพูดถึงธรรมะนะ ท่านบอกเลย เหมือนคุยกับสัตว์มนุษย์ไม่รู้เรื่องเลย เหมือนกับเราคุยกับสัตว์สัตว์ไม่รู้เรื่องหรอก สุนัขมันยังรู้นะ สื่อสารกันยังพอเข้าใจ นี่ก็เหมือนกัน เพราะเราอยู่ในสมมุติไง สมมุติบัญญัติเรายึดมั่นถือมั่นนี่ธรรมะไง มีธรรมเป็นที่พึ่งก็กอดแน่นเลย ทิ้งไว้ไม่ได้เลย

แต่เวลาหลวงตาท่านไปหาหลวงปู่มั่นมหา มหาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามานี่สาธุประเสริฐที่สุดแต่วางไว้ก่อนนั่นเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วกิเลสมันบังเงามันอ้างว่ามันรู้มันอ้างว่ามันเข้าใจ แล้วทำอะไรมันก็ยึดตรงนั้นไว้ กิเลสมันก็เอาตรงนั้นมาหลอก “นี่เรียกว่าสมาธิ นี่เรียกว่าปัญญา นี่เรียกว่านิพพาน” นี่ๆๆอยู่นั่นแหละ มันเลยไม่ได้สักทีวางไว้ แล้วทำของท่านไป

ฉะนั้นหลวงปู่มั่นท่านถึงบอกไง ถ้าปฏิบัติไปพร้อมกับสัญญาอย่างนั้น มันจะเตะมันถีบ มันจะขัดมันจะแย้ง มันจะหลอกมันจะล่อเราก็ทุกข์พอแรงแล้วนะ ที่เรามาปฏิบัติ เราก็รู้จักกิเลสมันบีบคั้นหัวใจ เราอยากจะสลัดมันทิ้งแล้วเราก็ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นปริยัติเป็นแนวทางแนวทางก็ทำตามนั้นไปแล้ววางให้หมดไง

ฉะนั้นเวลาหลวงตาท่านไปหาหลวงปู่มั่น มหา มหาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐนะ

ทุกคนเคารพบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ศึกษามาก็ศึกษามาด้วยความจำศึกษามาด้วยสัญญาของเรานั่นแหละ แต่เวลาหลวงตาท่านปฏิบัติไปพุทธ ธรรม สงฆ์รวมลงเป็นอันหนึ่งเดียว พุทธธรรม สงฆ์รวมลงไปในหัวใจนั้น

แล้วหัวใจนี้มันครอบงำ เราสวมถุงเท้า ถุงเท้าไม่ใช่เท้า เพราะเราสวมถุงเท้าเท้าก็เป็นเท้าถุงเท้าก็เป็นถุงเท้า ศึกษามานั่นล่ะถุงเท้า เท้าเราคือหัวใจนี้มันสวมมันก็ทับลงไปสิ พอสวมทับลงไป ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทับกิเลสไว้ กดกิเลสไว้ แล้วก็ภูมิใจๆเอาถุงเท้าสวมใส่ไปในเท้าไงเอาหมวกสวมไว้บนหัวไง

ถอดหมวกออกสิ แล้วก็เปิดกะโหลกด้วย ปัญญามึงอยู่ไหน นี่เวลามรรคมันเกิดไงถ้ามรรคมันเกิดเป็นความจริงขึ้นมามันถึงเป็นความจริงของเรา นี่ถ้าปฏิบัติปฏิบัติอย่างนี้ครูบาอาจารย์เราทำอาบเหงื่อต่างน้ำนะ โยมก็ต้องหาอยู่หากินปฏิบัติก็ทุกข์ก็ยากของโยมพระมาปฏิบัติแล้วก็คิดว่ามาปฏิบัติแล้วหลวงพ่อกันไว้จะปฏิบัติ

อ้าว! ปฏิบัติก็มีเวลาให้ แต่เวลามันเกิดสิ่งใด เพราะอะไร อาวาส ของของสงฆ์ ถ้าภิกษุไม่ดูไม่แล เอาของของสงฆ์ไปใช้ เวลาจะจากไปไม่คืนให้สงฆ์ไม่ทำความสะอาด เป็นอาบัติปาจิตตีย์

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งนี้ที่นี้เขาถวายหลวงตา หลวงตาบอกให้เราเป็นคนดูแล ดูแลไว้มันก็เป็นของของสงฆ์ มันเป็นของสาธารณะแล้วเรามาอาศัยเราก็ต้องช่วยเหลือเจือจานกันถ้ามันจะทุกข์มันจะยากก็ทุกข์ด้วยกันนี่แหละเราต้องดูแลรักษาเพื่ออนุชนรุ่นหลัง เพื่อคนต่อไป ถ้าทำได้จริงๆ มันเป็นประโยชน์กับเราเหนื่อยยากก็รู้ว่าเหนื่อยยาก ถึงเวลาจะทำ ต้องทำ ทำเพื่อหัวใจของเรา ให้หัวใจเรามันหมอบราบ อย่าให้ทิฏฐิมานะมันชูสุดฟ้า

ถ้าทิฏฐิมานะมันยอมลงเขาเรียกลงใจถ้าครูบาอาจารย์ลงใจหลวงปู่มั่นลงใจครูบาอาจารย์ของเราถ้าลงใจ มันทำสิ่งใดมันทำด้วยเอาบุญ อยากได้บุญกุศลจากท่าน

เราอยู่กับหลวงตานะ เวลาบิณฑบาตกลับมา รับบาตรใครๆ ก็อยากจะรับบาตรๆ เพราะอะไร เพราะเวลาภาวนาแล้วมันอั้นตู้ อยากได้บุญได้กุศลเบิกทางบ้าง อยากได้สิ่งใดที่เบิกหัวใจนี้ไป ให้หัวใจมันก้าวหน้า

เวลาพระปฏิบัติ ทุกคนรู้ด้วยกัน เวลาทุกข์เวลายากปฏิบัติ ทุกคนเวลาอัดอั้นตันใจ มันพยายามของคนแล้วมันไปไม่รอด แล้วอะไรล่ะที่มันจะเป็นไปได้ มันก็หวังบุญหวังกุศลเพื่อจะให้มันปลอดโปร่ง ให้มันเป็นไปได้ ถ้าเป็นไปได้ เราก็ทำของเราอย่างนั้น

ฉะนั้นเวลาลงใจแล้วหาหนทาง เพื่อให้มีหนทางเพื่อการประพฤติปฏิบัติของเราเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติของเรา เอวัง